แต่ในปัจจุบันอาหารและขนมสำหรับสุนัขมีมากมายหลายแบบ หลายประเภท และหลากหลายยี่ห้อ การเลือกซื้ออาหารสุนัข ที่เหมาะสมกับความต้องการของสุนัขแต่ละตัวในแต่ละช่วงอายุจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สุนัขมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ และมีอายุที่ยืนยาว
สุนัขเป็นสัตว์ที่สามารถกินได้ทั้งพืชและเนื้อ (Omnivorous) จึงควรได้รับสารอาหารทุกชนิดอย่างครบถ้วน
– น้ำ (Water) ในร่างกายของสุนัขประกอบด้วยน้ำประมาณ 70% ทำหน้าที่ในการขนส่งสารอาหาร ระบายความร้อน และช่วยในขบวนการทางเคมีต่าง ๆ เจ้าของจึงควรวางน้ำสะอาดไว้ให้สุนัขกินตลอดเวลา โดยปริมาณน้ำที่ให้ในแต่ละวันจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว เฉลี่ยประมาณ 25 – 50 มิลลิลิตร ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน แต่ในช่วงที่อากาศร้อนสุนัขจะต้องการน้ำเพิ่มขึ้นประมาณ 3-4 เท่าของปริมาณน้ำที่ดื่มปกติ
– โปรตีน (Protein) เป็นสารอาหารที่สามารถหาได้จากทั้งพืชและสัตว์ ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด ซึ่งมีหน้าที่ช่วยในการพัฒนามวลกล้ามเนื้อ สร้างเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ โดยปกติแล้วอาหารสำหรับลูกสุนัขควรมีโปรตีน 22-28 เปอร์เซ็นต์ อาหารสำหรับสุนัขโตเต็มวัยควรมีโปรตีน 10-18 เปอร์เซ็นต์ หรืออาจจะมีสัดส่วนที่มากขึ้นเมื่อเป็นอาหารบาร์ฟ ส่วนอาหารสำหรับสุนัขที่อายุมาก หรือเป็นโรคไตควรเลือกโปรตีนที่มีคุณภาพและจำกัดปริมาณที่ได้รับ เพราะ การได้รับโปรตีนสูงเป็นเวลานาน อาจทำให้ตับและไตทำงานหนักขึ้นได้
– คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) อาหารสุนัขหลายสูตรมักจะประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรต อย่าง ข้าว ข้าวโอ๊ต เมล็ดธัญพืช และมันฝรั่ง โดยเฉพาะในอาหารเม็ด เพื่อเป็นตัวช่วยในการยึดส่วนผสมทุกอย่างให้จับตัวกันเป็นก้อน อีกทั้งยังทำให้อิ่มท้อง และเป็นพลังงานที่ดีให้แก่สุนัข ซึ่งในอาหารสุนัขทั่วไปจะมีคาร์โบเดรตไม่น้อยกว่า 23% ส่วนในอาหารเม็ดสำเร็จรูปมีอยู่ระหว่าง 30-60% แต่การให้คาร์โบไฮเดรตที่มากเกินไปก็อาจทำให้เกิดการสะสมจนเกิดเป็นโรคอ้วนได้ (Obesity) นอกจากนี้ ยังควรหลีกเลี่ยงแหล่งคาร์โบไฮเดรตจากข้าวโพดแบบ Corn gluten meal หรือวัตถุดิบที่เหลือจากการทำแป้งข้าวโพด เพราะ สุนัขจะไม่สามารถย่อยและทำให้เกิดอาการท้องอืดได้
– ไขมัน (Lipid) ประกอบด้วยกรดไขมันชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย (Essential fatty acid) เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้จึงจำเป็นต้องรับเข้าไปจากอาหาร ได้แก่ กรดไขมันชนิดโอเมก้า-6 และ โอเมก้า-3 จะช่วยเพิ่มความน่ากินและรสชาติที่ดีให้แก่อาหาร ช่วยบำรุงผิวหนังและขนให้สวยเงางาม รวมถึงช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินบางชนิดได้ดีขึ้น การเลือกอาหารจึงไม่จำเป็นต้องเลือกสูตรไขมันต่ำหรือไร้ไขมัน แต่ควรเลือกส่วนผสมของกรดไขมันที่มีประโยชน์ เช่น ไขมันไก่ น้ำมันพืช น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันแฟล็กซีน และน้ำมันปลา
– วิตามิน และแร่ธาตุ (Vitamins) อย่าง วิตามินเอ บี ซี เค แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และ ไอโอดีน เป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกาย เช่น กระดูกและฟัน ที่สามารถพบได้ทั่วไปในอาหารแต่ละมื้อ แต่หากต้องการเสริมเพิ่มเติมสำหรับสุนัขป่วย หรือตั้งครรภ์ก็ควรเลือกวิตามินที่ระบุอย่างชัดเจนว่าสำหรับสุนัขโดยเฉพาะ และให้ในปริมาณเท่าที่จำเป็น มิเช่นนั้นวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้อาจกลายเป็นสารพิษทำลายระบบย่อยอาหาร ตับ และไตแทนได้